วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

เครือข่ายคอมพิวเตอร์
 หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษ: computer network) คือ ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผล, หน่วยความจำ, หน่วยจัดเก็บข้อมูล, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้

 ชนิดของเครือข่าย

เครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อสะดวกต่อการร่วมใช้ข้อมูล, โปรแกรม หรือเครื่องพิมพ์ และยังสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องได้ตลอดเวลา ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกตามขนาดของเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่รู้จักกันดีมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่
  • เครือข่ายภายใน หรือ แลน (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นอยู่ในห้อง หรือภายในอาคารเดียวกัน
  • เครือข่ายวงกว้าง หรือ แวน (Wide Area Network: WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกัน ในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็น กิโลเมตร หรือ หลาย ๆ กิโลเมตร
  • เครือข่ายงานบริเวณนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan area network : MAN)
และยังมีอีกสองเครือข่ายที่ยังมีเพิ่มเติมอีกคือ
  • เครือข่ายของการติดต่อระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ แคน (Controller area network) : CAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อกันระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Micro Controller unit: MCU)
  • เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN) เป็นเครือข่ายไร้สาย

[แก้] อุปกรณ์เครือข่าย

  • เซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครืองแม่ข่าย เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักในเครือข่าย ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ใน เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง และ
มีฮาร์ดดิกส์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย .
  • ไคลเอนต์ (Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ร้องขอ บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็นคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่าย
  • ฮับ (HUB) หรือ เรียก รีพีทเตอร์ (Repeater) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง
  • สวิตซ์ (Switch) คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเรเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลายทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธจึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนการของข้อมูล
  • เราเตอร์ (Router)เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ์ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือาข่ายที่ให้โพรโทคอลต่างกันได้ เช่น IP (Internet Protocol) , IPX (Internet Package Exchange) และ AppleTalk นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layer จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น
บริดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้
  • เกตเวย์ (Gateway) เกตเวย์ เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เครื่องบินรบ


เริ่มต้นจาก บ.ข.๑๘ หรือว่า F-5 เครื่องพระเอกรุ่นเก่ากึ๊ก
F-5 นี่ใช้กันโด่งดังสมัยสงครามเวียดนามนู้นน

เริ่มแรกได้รับมอบจาก โครงการช่วยเหลือทางทหาร ตอนหลังจบสงครามเวียดนาม เริ่มต้นได้รับมอบ F5-B จำนวน 2 เครื่อง หนึ่งในนั้นเป็นรุ่น B เครื่องแรกของโลก(เพิ่งปลดประจำการไปไม่นานนี้เอง) และก็ได้รับมอบต่อๆมาอีก

ต่อมาประเทศไทยเริ่มจัดซื้อมาจากเมกา จำนวน 20 ลำ เป็นรุ่น E 17 ลำ รุ่น F 3 ลำ
และก็มีการจัดซื้อเรื่อยๆ จนมีมากกว่า 40 ลำ (ขอโทษจริงๆจำข้อมูลต่อๆมาไม่ได้)




เครื่อง F-5 ในไทยเคยผ่านสมรภูมิใหญ่ๆมา 2 ครั้ง มีประหวัติการรบจริง เริ่มต้นจาก สมรภูมิเขาค้อ ที่ปราบปรามคอมมิวนิส เข้าทำหน้าที่โจมตีฐานของผู้นำการก่อการร้าย ครั้งนั้นสูญเสียเครื่อง F5-A ไปสองลำ นักบินเสียชีวิตทั้งคู่

ต่อมา สมรภูมิร่มเกล้า สู้กับลาว ได้ไปทิ้งระเบิด และถูกยิงสวนโดยจรวด SAM (ที่ขเมรมันขู่ว่าจะเอามาิยิง F 16 เราให้ตกอ่ะ) โดยที่ท้ายเครื่อง F-5B 1 เครื่อง แต่นักบินสามารถนำเครื่องบินลงมาจอดได้ ปัจจุบันได้ซ่อมแซมและบินต่อได้ (การซ่อมบำรุงของ ทอ. ไทย ถือว่าสุดยอดระดับโลกฝรั่งยังตะลึง)

Posted Image

ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประจำการ F5 หลายๆรุ่นอยู่ แต่ก็ใกล้หมดอายุของมันแล้ว ตอนนี้กำลังทยอยปลด F5 รุ่น A B E ในต้นปีหน้านี้แล้ว และจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องบินระดับท็อปของโลกชนิดหนึ่งที่ชื่อ Gripen Jas-39 C/D นั้นเอง (รอไม่ใหวแล้ว งานเปิดตัวประชาชนจะได้เข้าดูมั้ยยเนี่ย)

แต่ยังคงมีประจำการรุ่น F5-T Tigres ซึ่งเป็นรุ่นเฉพาะสำหรับประเทศไทย ที่อัพเกรดโดยอิสรเอล


-------------------------------------------------------------

Posted Image
พระเอกคนปัจจุบันของเรา F-16 A/B บ.ข.๑๙
ประเทศไทยมี F16 ประจำการ ณ ปัจจุบันอยู่ถึง 59 ลำ


เป็น Block 15 OCU ซะเกือบทั้งหมด จัดซื้อจากเมกา

มี 7 ลำที่ได้รับมอบ(ฟรี) จากกองทัพอากาศสิงคโปร์ จากการให้ไทยเช่ายืมสนามบินในการซ้อมรบและัประจำการเครื่องบิน

มีครั้งนึงไทยได้จัดหา F/A 18 C/D มาประจำการในไทย 8 ลำ ซื้อแล้วจ่ายตังแล้วผลิตแล้ว แต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจพอดี เลยขอให้เมกาซื้อสัญญาคืนกลับไป (เสียดายยย)

เลยจัดหาเครื่อง F16 มือสองจาก เมกามาแทน เป็นรุ่น F16 Block 15 ADF (รบเวลากลางคืน)

ปัจจุบันไทยได้เริ่มทยอยอัพเกรด F16 เพื่อยืดอายุโครงสร้าง และ พัฒนาศักยภาพ ตามโครงการต่างๆ ตอนนี้ F 16 ไทยเปรียบเสมือนวันกลางคนแล้ว

ปัจจุบัน F-16 ถ้าเทียบในภูมิภาค ไปสู้พวก su27 กับ su30 ของอินโดกับมาเล f16c/d ของสิงคโปร์ (ของเค้า Block 40 ของไทย Block 15 ต่างกันมั้ยหละ) คงสู้ไม่ได้

แต่ถ้าอัพเกรดมาแล้วก็ยังพอสู้ใหว ด้วยฝีมือนักบินไทยที่ในระดับโลกถือว่าเก่งเลยแหละ (ในภูมิภาคนี้นักบินไทย เทพ สุดละ) ก็คงทำให้รับมือกับเครื่องบินที่ดีกว่าของประเทศใกล้ๆเราได้ (แต่ขเมรมี Mig-21 เก่ากึ๊ก เก่ากว่า F-5 อีก แล้วบินได้สองลำเองมั้ง แล้วบอกจะมาสู้กับไทย เห้อออ เอาขึ้นมาตายฟรี โม้ต้องแต่จะเอา SAM 7 มาสอย F-16 ละ ฮ่าๆ)

ส่วนเรื่องวีรกรรมนี่ F16 ไทย สู้ F5 ไทย ไม่ได้ซักนิด เพราะไม่เคยผ่านสมรภูมิใหญ่ๆเลย มีแต่บินตรวจการ บินขู่ บินรักษาความสงบในช่วงเวลาคับขัน (อาจมีภารกิจลับอะไรซักอย่าง อันนี้ก็ไม่สามารถทราบได้ เพราะมันลับ แล้วผมจารู้ได้ไง ฮ่าๆๆๆ)

F16 ไทยไม่เคยเกิดอุบัติเหตุถึงขั่นจำหน่าย(หมายถึงปลดประจำการ หรือพัง หรือตก นั้นแหละ) จนต่างประเทศยกย่องเลยว่ามีนิรภัยการบินที่สุดๆ


----------------------------------------------------------------------------------------------------


Posted Image

ในรูปนี้เป็นเครื่องของไทยนะครับ สร้างเสร็จแล้ว ได้ทำการ First flight และ test flight ที่สวีเดนเรียบร้อยแล้วครับ
บ.ข.๒๐ Jas 39 Gripen C/D
ประเทศไทยต้องการเครื่องบินทดแทน F5 หลายลำที่กำลังจะปลดประจำการ เพราะแก่เกินแล้ววคุณปู่ จึงได้เริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินทดแทน โดยมีประเทศเข้าร่วมโครงการสามประเทศ มีเครื่องบินเข้าประกวดสามชนิด

F 16 C/D จากเมกา
SU 30 จาก รัซเซีย
Jas 39 Gripen จากสวีเดน

และไทยก็ได้เลือก Gripen จากเหตุผลที่ว่า F16 นั้นเมกาขายแบบแทบไม่ให้อะไรเราเลย อาวุทอะไรแทบไม่ยอมขายให้ ราคาเครื่องก็แพง เครื่องบินดีแต่อาวุทห่วยมันก็เท่านั้น
ส่วน su 30 จากรัซเซีย ลำใหญ่ กินน้ำมัน อัตราพร้อมรบต่ำ ค่าใช้จ่ายในการบินสูง อายุการใช้งานต่ำ ประเทศไทยไม่เคยประจำการเครื่องบินขับไล่ขนาดใหญ่เลยด้วย ไม่ใช่ว่า SU30 ไม่ดีนะครับ เป็นสุดยอดเครื่องบินลำนึงของโลกเลยแหละ

ก็ตกลงปลงใจเลือก jas 39 Gripen มา

...อย่างที่เป็นข่าวว่า ทำไมไทยซื้อ Gripen แพงจัง เอาไปเทียบกับประเทศนู้นประเทศนี้ ก็พี่นักข่าวแกเล่นเอาราคาทั้งโครงการ หารด้วยจำนวนเครื่อง มันก็แพงสิครับพี่น้อง
ไทยได้จัดซื้อ Gripen แบบเป็น แพคเกจ และเป็นแพคเกจที่คุ้มสุดๆด้วย คือถ้าเอาของในแพคเกจมาแยกขาย สวีเดน ได้เยอะกว่านี้อีกเยอะครับ
(สมมุติง่ายๆ ซื้อรถคันเดียว 1 ล้านบาท ได้แต่รถ แต่เราืซื้อ 6 คัน แต่ 10 ล้านบาท พร้อมชุดแต่งรอบคัน ออฟชั่นเสริมมากมาย พร้อมสร้างโรงจอดรถอีก + กับอะไหล่อีก แล้วยังให้ไปเรียนว่ามันสร้างมายังไงอีก แถมยังให้ข้อมูลการสร้างอีก ประมาณเนี้ย คุ้มป่ะหละครับ)
ประเทศไทยจัดซื้อ Gripen ทั้งหมด 12 ลำ โดยแบ่งเป็น เฟซแรก 6 ลำ เฟซ 2 อีก 6 ลำ เป็นรุ่น C 8 ลำ รุ่น D 4 ลำ (รุ่น D คือสองที่นั่ง) เป็นของใหม่ทั้งหมด!!

ในแพคเกจยังมีเครื่องบิน Saab 340 AEW ติดตั้งระบบแจ้งเตือนในอากาศ Erieye จำนวน 1 เครื่อง
และ Saab 340 สำหรับฝึกบินอีก 1 เครื่อง อาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น RBS 15 จำนวน ๑๒ นัด และอาวุทอื่นๆอีก(หาข้อมูลไม่เจอครับ แต่มีอีกเยอะ)

ได้รับการตอบแทนในลักษณะความร่วมมือทวิภาคี อาทิ การถ่ายทอดเทคโนโลยีในสาขาต่าง ๆ จำนวน ๒๐ Man-Years, ทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท จำนวน ๑๘ ทุน และความร่วมมือด้านอื่น ๆ (ได้ซอสโค๊ดของเครื่อง Gripen ทั้งหมดด้วยครับ พูดง่ายๆคือ ได้รับเทคโนโลยีของมันมาทั้งหมดเลย)

ผมเคยอ่านเจอมาว่า ถ้าไทยได้รับมอบ Gripen แล้ว สวีเดนจะเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทยในการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินในประเทศไทย (อันนี้ไม่ชัวนะครับจำได้คลับคล้ายคับคลาเฉยๆ)


เครื่อง Gripen ถือว่าเป็นเครื่องบินยุค 4.5 (F-22 เป็นยุค 5) สมรรถภาพของมันถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่ดีที่สุดในโลกปัจจบัน มีความสามารถในเชิงป้องกันประเทศสูง (ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด)

Gripen ยังสามารถใช้จรวดบางชนิดกับ F 16 ที่เรามีอยู่แล้วได้ เพียงแค่ปรับปรุงเล็กน้อย

สามารถขึ้นลงจากทางหลวง ที่มีทางยาว 400 เมตร กว้าง 9 เมตรได้เลย

ถึงจะมีระยะปฏิการต่ำ(Gripen เป็นเครื่องบินขนาดเล็กครับ บินได้ไม่ใกล ต้องหาที่จอดเติมน้ำมันบ่อย) แต่ด้วยเมืองไทย มีสนามบินทางทหารเยอะมากกกก ทั่วประเทศ และ ประเทศไทยไม่ได้ใหญ่มาก จึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

ระบบ เรดาห์ของ Gripen นี่ก็ถือว่าสุดยอด สามารถมองเห็นศัตรูได้ในระยะ 120 กิโลเมตร(จากเรดาห์ในตัวเครื่อง) และ 450 กิโลเมตร (จาก Erieye) พร้อมระบบ data link

จากระบบ Data link ทำให้ Gripen ไม่จำเป้นต้องเปิดเรดาห์เวลาสู้รบ หรือเปิดแค่น้อยลำที่สุด การเปิดเรดาห์ทำให้ศัตรูตรวจจับเราได้ (บินมา 6 ลำ เปิด 1 ลำพอ)

แค่ลำที่เปิดเรดาห์ หรือไม่ว่าจะเป็น Erieye ล็อคเป้าได้ ลำที่เหลือก็ยิงได้ทันที (ใส่มายาม่วงคนเดียว ที่เหลือ TS กัน คอยบอก ฮ่าๆๆ )

ด้วยความที่เครื่อง Gripen ที่ว่าเป็น เครื่องบินขับไล่ที่มีขนาดเล็ก(น่าจะเล็กกว่า F16 อีก) ทำให้พื้นที่หน้าตัดน้อย อีกทั้งยังไม่ต้องเปิดเรดาห์ จึงแทบจะทำให้เครื่อง Gripen เป็น สเตลท์ไปเลยทีเดียว

เครื่อง Gripen จึงเหมาะกับประเทศไทยที่ซู๊ดด ในหลายๆ้ด้าน ด้วยขีดความสามารถต่างๆของ Gripen มันเป็นการเปรียบเสมือนของเล่น Rag แบบ TeamWork มากกว่า Solo เดี่ยว

สมรรถนะ ส่วนตัวอาจสู้ su 30 ไม่ได้ แต่ด้วยระบบเฉพาะตัวของ Gripen อย่าง data link ที่มีเครื่องบินแค่ไม่กี่ชนิดใช้ (เท่าที่ผมทราบมีแค่ F22)

ทำให้สามารถต่อกรกับเครื่องบินในละแวกเพื่อนบ้านได้ดีทีเดียวเลยหละครับ และด้วยสมรรถนะของนักบินไทยที่สุดยอดไปแล้วอีกหละก็ ชัยชนะการครองอากาศคงเป็นของไทยได้อย่างไม่ยากเย็นนักจากเครื่องบินที่ชื่อว่า Gripen น้องใหม่ ทอ. ไทย จาก สวีเดนนี่แหละครับ




-----------------------------------------------------------------


บ.ขฝ.1 L-39 Albatros เครื่อง jet ฝึกบิน ครูของเหล่านักบิน F-16
Posted Image

L 39 เป็นเครื่องบินฝึกบินขับไล่ โจมตี ของกองทัพอากาศไทย เป็นบรรใดก้าวไปสู่นักบิน F-16 พูดง่ายๆก็คือ ใครจะบิน F 16 ได้ ต้องผ่านการบิน L 39 มาก่อนทั้งสิ้น และผู้ที่ทำคะแนนระดับสูงๆเท่านั้น
ถึงจะผ่านไปบินเครื่อง F 16 ต่อไป

L 39 ผลิตใน สาธารรัฐเชค ส่วนของไทย ถูกอัพเกรดโดย อิสราเอล ให้สามารถใช้อาวุธ NATO ได้ (อิสราเอล เจ้าพ่อ Upgrade)

ข้อมูลของเครื่อง L 39 ค่อนข้างมีน้อย เพราะเป็นเครื่องบินฝึก ประหวัติการรบในประเทศไทย ก็ไม่มีครับ


-------------------------------------------------------------------------------------------------

บ.ข.๗ เครื่องบินโจมตีแบบที่ 7
Alpha Jet

Posted Image

ไทยได้นำ Alpha Jet มือสองจากเยอรมัน มาประจำการแทนเครื่อง ov-10 ที่เก่าแก่และกำลังจะปลดประจำการ(ปัจจุบันปลดไปหมดแล้ว บางส่วนส่งมอบให้ฟิลิปปิน ฟรี เพื่อให้เค้าไปใช้ในงานปราบผู้ก่อการร้าย)

ประเทศไทยได้สั่งซื้อจากเยอรมันมาจำนวน 25 ลำ โดยใช้งานจริง 20 ลำ และเป็นอะไหล่ 5 ลำ จัดซื้อมาลำละ 1 ล้านบาท (ถูกกว่ารถบางคันอีก)

ถึงจะเป็นเครื่องบินมือสอง แต่เป็นเครื่องบินที่เยอรมันปลดประจำการเนื่องจากต้องการปรับลด กำลังรบ สืบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ จึงได้ปลดประจำการและเก็บรักษาใว้อย่างดี เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่เพิ่งผ่านอายุการใช้งานมาเพียง 2000 ชั่วโมงบิน ซึ่ง Alpha jet สามารถใช้งานได้ถึง 10000 ชั่วโมงบินเลยทีเดียว เท่ากับว่าสามารถใช้งานได้อีกเกิน 20 เลย

แต่การส่งมอบได้มีเครื่อง Alpha jet ตกไป 1 ลำ เนื่องจากนักบินเกิดอาการ หลงฟ้า (คืออาการที่บินแล้ว มองไม่ออกว่าตอนนี้เครื่องบินอยู่ท่าใหนกันเนี่ย หงายท้องอยู่หรือเปล่า เอียงอยู่หรือเปล่า)

This post has been edited by LoveOnly-`: 01 September 2010 - 11:23 AM

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เครื่องคิดเลข
      






 เป็นเครื่องมือกลหรืออิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยมนุษย์คำนวณและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีวงจรอิเล็กทรอนิกส์และการทำงานบันทึกอยู่ภายใน เครื่องคิดเลขได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันเครื่องคิดเลขมีความสามารถสูงมาก สามารถทำกราฟ คิดสูตรตรีโกณมิติ ได้

 ประวัติ

ในอดีตยังไม่มีความรู้เรื่องอิเล็กทรอนิคส์ มีการใช้เครื่องมือกลคำนวณตัวเลขต่างๆ เช่นในประเทศจีน จะมีการใช้ลูกคิด ทางตะวันตกซึ่งมีความเจริญทางคณิตศาสตร์มากก็จะมี abaci, comptometers, Napier's bones, slide rules และอื่นๆอีกมาก เครื่องคอมพิวเตอร์ก็จัดว่าเป็นวิวัฒนาการมาจากเครื่องคิดเลขเหมือนกัน
        ส่วนประกอบหลักของเครื่องคิดเลข
โดยทั่วไปเครื่องคิดเลขธรรมดาก็จะประกอบด้วย
  • แหล่งพลังงาน ปกติจะเป็นถ่านไฟฉาย หรือบางเครื่องอาจจะมีเซลสุริยะ(Solar cell) ด้วย
  • จอแสดงผล ซึ่งปกติมักจะเป็น หลอด LED หรือ จอคริสตอลเหลว (Liquid crystal: LCD) ใช้แสดงตัวเลขที่คำนวณ มีทั้ง 8 หลัก, 10 หลัก หรือ 12 หลัก
  • วงจรอิเล็กทรอนิกส์
  • ปุ่มกดสำหรับใส่ตัวเลข และคำสั่ง

คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่างๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่างๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4]
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit)โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินขับไล่ และของเล่นชนิดต่างๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์

มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา ความหมายของคำว่าคอมพิวเตอร์นี้เริ่มมีใช้กับเครื่องจักรที่ทำหน้าที่คิดคำนวณมากขึ้น[5]

 

 

คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีฟังก์ชันจำกัด

ประวัติของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากเทคโนโลยี 2 ชนิดที่แยกจากกัน ได้แก่ โปรแกรมคำนวณแบบอัตโนมัติ กับ โปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้น แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีใดชนิดใดเกิดขึ้นก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแต่ละโปรแกรมนั้นไม่มีความสอดคล้องกัน ในอดีต เครื่องมือจำพวกหนึ่ง อย่าง ลูกคิดของชาวสุเมเรียน ที่ถูกออกแบบขึ้นราว 2,500 ปีก่อน ค.ศ.[6] ที่ซึ่งลูกหลานเคยชนะการแข่งขันความเร็วในการคำนวณโดยใช้เครื่องคำนวณสมัยใหม่ชนิดวางบนโต๊ะที่ประเทศญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1946[7] ถือเครื่องช่วยคำนวณที่ประสบความสำเร็จและอยู่รอดมาเป็นศตวรรษ คำนวณจนกระทั่งถึงยุคของเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษ 1620 – 1629 มีการประดิษฐ์สไลด์รูล ที่ถูกนำขึ้นยานอวกาศในภารกิจของโครงการอะพอลโลถึง 5 ครั้ง รวมถึงเมื่อครั้งที่สำรวจดวงจันทร์ด้วย[8] นอกจากนี้ยังมี เครื่องทำนายตำแหน่งดาวฤกษ์ (Astrolabe) และ กลไกอันติคือเธรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณ (คอมพิวเตอร์) เกี่ยวกับดาราศาสตร์ยุคโบราณที่ชาวกรีกเป็นผู้สร้างขึ้นราว 80 ปีก่อน ค.ศ.[9] ที่มาของระบบการสั่งการโปรแกรมเกิดขึ้นเมื่อ ฮีโรแห่งอเล็กซานเดรีย (c.10-70 AD) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกสร้างโรงละครที่ประกอบด้วยเครื่องจักร ใช้แสดงละครความยาว 10 นาที และทำงานโดยมีกลไกเชือกและอิฐบล็อกทรงกระบอกที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะชิ้นส่วนกลไกใดใช้ในการแสดงฉากใดและเมื่อใด[10]
ราวๆ ปลายศตวรรษที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 นักบวชชาวฝรั่งเศส ได้นำลิ้นชักบรรจุอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จะตอบคำถามได้ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เมื่อถูกถามคำถาม (ด้วยเลขฐานสอง)[11] ซึ่งชาวมัวร์ประดิษฐ์ไว้กลับมาจากประเทศสเปน ในศตวรรษที่ 13 นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส และโรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ได้สร้างหุ่นยนต์แอนดรอยด์ (android) พูดได้ โดยไม่ได้พัฒนาใดๆ ต่ออีก (นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส บ่นออกมาว่าเขาเสียเวลาเปล่าไป 40 ปีในชีวิต เมื่อนักบุญโทมัส อควีนาสตกใจกับเครื่องนี้และได้ทำลายมันเสีย) [12]
ในปี ค.ศ. 1642 แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการประดิษฐ์เครื่องคำนวณของปาสคาลซึ่งเป็นเครื่องคำนวณตัวเลขเชิงกล[13] เป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถคำนวณโดยใช้ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องพึ่งสติปัญญามนุษย์[14] เครื่องคำนวณเชิงกลนี้ยังถือเป็นรากฐานของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสองทาง แรกเริ่มนั้น ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องคำนวณที่มีสมรรถภาพสูงและยืดหยุ่น[15] ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกสร้างโดยชาร์ลส แบบเบจ[16][17] และได้รับการพัฒนาในเวลาต่อมา[18] นำไปสู่การพัฒนาเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 และในขณะเดียวกัน อินเทล ก็สามารถประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นหัวใจสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์หากไม่คำนึงถึงขนาดและวัตถุประสงค์[19] ขึ้นได้โดยบังเอิญ[20] ระหว่างการพัฒนาเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ บิซิคอม ที่พัฒนาสืบต่อจากเครื่องคำนวณเชิงกลโดยตรง

ประเภทของคอมพิวเตอร์

ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้

 

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก

มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)

มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า

โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)

โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ

เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)

เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม [21]

ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
  1. การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
  2. งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
  3. ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
  4. ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  5. ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
  6. วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ
  7. งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทำแบบจำลองสามมิติ
  8. งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัวการ์ตูน จำลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
  9. งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จำลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล
  10. ด้านนันทนาการ ช่วยให้ความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกม

อ้างอิง

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แฟลชไดร์

แฟลชไดร์

แฟลชไดรฟ์
แฟลชไดรฟ์ หรือ ยูเอสบีไดรฟ์ (อังกฤษ: USB flash drive) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลโดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ทำงานร่วมกับยูเอสบี 1.1 หรือ 2.0 มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ในปัจจุบัน แฟลชไดรฟ์มีความจุตั้งแต่ 1 GB ถึง 128GB โดยทั่วไปไดรฟ์จะทำงานได้ในหลายระบบปฏิบัติการซึ่งรวมถึง วินโดวส์ 98/ME/2000/XP/Vista แมคอินทอช ลินุกซ์ และยูนิกซ์
แฟลชไดรฟ์ รู้จักกันในชื่อต่างๆ รวมถึง "ทัมบ์ไดรฟ์" "คีย์ไดรฟ์" "จัมป์ไดรฟ์ และชื่อเรียกอื่น โดยขึ้นอยู่กับผู้ผลิต

USB แฟลชไดรฟ์คืออะไร
universal serial bus (USB) แฟลชไดรฟ์ คืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถพกพา และใช้เสียบเข้ากับ USB พอร์ตของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ USB แฟลชไดร์ฟใช้เก็บข้อมูลเช่นเดียวกับฮาร์ดดิสก์ แต่แฟลชไดร์ฟสามารถถ่ายโอนข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่นๆ ได้โดยสะดวก USB แฟลชไดรฟ์จะมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันไป และเก็บข้อมูลได้หลายกิกะไบต์ USB แฟลชไดร์ฟยังเรียกอย่างอื่นได้อีกว่า ไดรฟ์ปากกาไดร์ฟขนาดย่อไดรฟ์พวงกุญแจไดรฟ์กุญแจ และคีย์หน่วยความจำ

ชื่อเรียกอื่นของแฟลชไดรฟ์
ชื่อเรียกของแฟลชไดรฟ์ (รวมถึงคำว่าแฟลชไดรฟ์) ไม่มีชื่อพื้นฐานที่กำหนด โดยผู้ผลิตได้ตั้งชื่อเป็นโมเดลของตัวเอง ซึ่งได้แก่
- คีย์ไดรฟ์ (key drive)
- จัมป์ไดรฟ์ (jump drive) เครื่องหมายการค้าของเล็กซาร์
- ดาต้าคีย์ (data key)
- ดาต้าสติ๊ก (data stick)
- ทราเวลไดรฟ์ (travel drive) เครื่องหมายการค้าของ เมโมเร็กซ์
- ทัมบ์ไดรฟ์ (ThumbDrive) เครื่องหมายการค้าของ เทร็ค
- ทัมบ์คีย์ (thumb key)
- เพนไดรฟ์ (pen drive)
- ฟิงเกอร์ไดรฟ์ (finger drive)
- แฟลชไดรฟ์ (flash drive)
- แฟลชดิสก์ (flash disk)
- เมโมรีไดรฟ์ (memory drive)
- ยูเอสบีไดรฟ์ (usb drive)
- ยูเอสบีคีย์ (usb key)
- แฮนดีไดรฟ์ (handy drive)
- หมี เป็นคำแสลงในการเรียก แฟลชไดรฟ์ในบางที (เช่นบางคณะ ของมหาวิทยาลัย แถวสามย่าน) ถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต ในเว๊บไซท์ พันทิป.คอม
ที่มาคำว่า Thumb drive
Thumb drive เป็นชื่อทางการค้า คุณสมบัติเหมือน CD-R, Floppy Disk, Hard Disk เป็นหน่วยความจำ ที่เสริมเข้าไปในคอมพิวเตอร์ทาง Port USB และถือเป็นการเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ คือไม่ต้องมีตัว Drive ตัว Disk พกพาได้สะดวกมีขนาดเล็กเท่ากับหัวแม่มือ เป็นยุคแรกๆ ของอุปกรณ์จำพวก Flash Drive ความเร็วในการอ่าน เขียน ประมาณ 500KB/Sec มีความจุอยู่ระหว่าง 8 MB - 1024MB ในปัจจุบันอาจมีมากขึ้น สำหรับราคาในยุคแรกๆ ราคาสูง ขนาดความจุน้อย

ที่มาคำว่า Flash Drive
Flash Drive มีชื่อจริงว่า USB Mass Storage Device ส่วนใหญ่เรียกกันว่า USB Flash Memory Drive , USB Flash Drive Memory หรือ USB Flash Drive การใช้งานเชื่อมต่อกับ Computer ผ่านทาง Port USB ใช้ Flash Memory เก็บข้อมูล ทำงานเป็น Drive เหมือน HardDisk อ่านและบันทึกข้อมูลได้อย่างเดียวไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ ซึ่งเป็นยุคต่อมาจาก Thumb drives ราคาถูกลง ความจุมีมากขึ้น ขนาดของตัว Flash Drive เล็กลงด้วย บางยี่ห้อมีขนาดประมาณ 1 นิ้ว

ที่มาคำว่า Handy drive
Handy drive เป็นชื่อทางการค้า คุณสมบัติและการทำงานเหมือน Flash drive แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือสามารถเล่นไฟล์ Mp3 ไฟล์วีดีโอ ไฟล์รูปภาพ ฟังวิทยุผ่านช่องเสียบหูฟัง และฟังก์ชันอื่นๆ ที่ผู้ผลิตจะใส่ลงไป ใช้แบตเตอรี่มีทั้งแบบใช้ถ่าน AA , AAA หรือถ่านชาตร์ ซึ่งจะชาตร์ถ่านผ่านทาง Port USB รูปลักษณ์สวยงาม แต่มีขนาดใหญ่กว่า Flash drive เนื่องจากต้องใช้แบตเตอรี่ สำหรับราคาแพงกว่า Flash drive อยู่บ้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานที่หลากหลาย